สูงสุด ถึง ต่ำสุด แง่คิดชีวิตจาก Dr.Richard Teo หมอหล่อรวย สิงคโปร์
ผมเห็นว่า สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล กำลังเผยแพร่ ข้อมูลนี้อยู่ ซึ่งน่าสนใจมากเกี่ยวกับชีวิตของDr.Richard Teo ซึ่งเขาเป็นแพทย์
และเลือกที่จะเป็นแพทย์ความงามเพื่อความรวย อยู่กับความฟุ้งเฟ้อ และมาพบว่าตนเองเป็นมะเร็งระยะรุนแรง ก่อนที่จะเสียชีวิต เขาได้รับเชิญอบรมเกี่ยวกับการชีวิตที่ควรจะถูกต้อง ไม่ฟุ้งเฟ้อ ซึ่ง Dr.Richard Teo ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 18 ตุลาคม 2555
ข้างล่างนี้คือคำบรรยายของ Dr.Richard Teo เศรษฐีเงินล้านและแพทย์ด้านความ
ประสบการณ์ชีวิตในกับชั้นเรียนข องนักศึกษาทันตแพทย์ในวันที่ 19 มกราคม 2012สวัสดีครับทุกท่าน เสียงผมจะแหบเล็กน้อย ได้โปรดอดทนกับเสียงผมหน่อยแล้ว กัน ขอแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อ Richard เป็นแพทย์ครับ ผมอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ในชีวิตของผม ต้องขอขอบคุณท่านศาสตราจารย์ที่ เชิญผมมาพูดในวันนี้. ผมหวังว่ามันคงจะช่วยให้พวกคุณไ ด้คิดถึงเรื่องอื่นๆ บ้างในเส้นทางของการ train เป็นทันตแพทย์ศัลยกรรมช่องปากตอนผมยังเด็ก ผมเป็นตัวอย่างผลผลิตของสังคมใน ปัจจุบัน เป็นผลผลิตที่เรียกได้ว่าประสบค วามสำเร็จตามที่สังคมต้องการ ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมมาจากครอบครัวที่ต่ำกว่ามาตรฐ าน, ผมถูกพร่ำสอนจากสื่อต่างๆ จากผู้คนรอบๆ ตัวว่าความสุขเป็นเรื่องของความ สำเร็จ และความสำเร็จที่ว่าก็เป็นเรื่อ งของความร่ำรวย ด้วยแนวคิดนี้ ผมจึงต้องต่อสู้ แข่งขัน อยู่เสมอตั้งแต่เป็นเด็ก
ไม่เพียงแต่ต้องเข้าเรียนในโรงเ รียนที่ดีที่สุด, ผมต้องประสบความสำเร็จในทุกสนาม แข่ง ขัน ในทุกกลุ่มที่สังกัด ในถนนทุกสาย ผมต้องได้ถ้วยรางวัล ต้องได้รับชัยชนะทุกๆ อย่าง ผมเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ จบมาเป็นแพทย์ พวกคุณบางคนอาจจะพอรู้ว่าในบรรด าสาขาต่างๆ นั้น จักษุวิทยา (Opthalmology) เป็นหนึ่งในสาขาที่แย่งกันเรียน มากที่สุด ดั้งนั้นผมจึงต้องเรียนจักษุวิท ยาให้ได้ และผมก็ได้เรียน แถมยังได้ทุนงานวิจัยจากมหาวิทย าลัยแห่งชาติสิงคโปร์เพื่อพัฒนา เลเซอร์สำหรับรักษาตาอีกด้วย
ในช่วงที่ผมเรียนอยู่นั้น ผมได้สิทธิบัตร 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องมือแพ ทย์ อีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเลเซอร์ แล้วพวกคุณรู้มั้ย, บรรดาความสำเร็จทางวิชาการพวกนี ้ไม่ได้นำความร่ำรวยมาให้ผมเลย ดังนั้นหลังจากหมดพันธะกับทางมห าวิทยาลัยแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า นี่มันนานเกินไปแล้ว การฝึกฝนทางจักษุวิทยามันใช้เวล านานเกินไป. ผมน่าจะทำเงินได้มากโขในภาคเอกช น. พวกคุณคงพอรู้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่า นมา เรื่องของเวชศาสตร์ความงามบูมมา ก แถมยังทำเงินได้มหาศาล ดังนั้นผมจึงตัดสินใจ พอกันทีกับงานในมหาวิทยาลัย ถึงเวลาต้องไปแล้ว ผมจึงลาออกจากการ train กลางคันและหันเหไปตั้งคลินิกควา มงามของตัวเอง
พวกคุณรู้มั้ย น่าขำที่ผู้คนไม่ได้มองหาฮีโร่จ ากแพทย์ทั่วไป (GP) หรือแพทย์ครอบครัว (family physician) พวกเขามองหาฮีโร่จากแพทย์ที่มีช ื่อเสียงและร่ำรวย พวกเขาจะไม่มีความสุขกับการเสีย เงิน 20 เหรียญเพื่อพบแพทย์ทั่วไป แต่ไม่บ่นสักคำที่จะจ่ายเป็นหมื ่น ๆ ดอลล่าร์สำหรับการดูดไขมันหรือเ สริมเต้านมหรืออะไร
ก็แล้วแต่ ดูเหมือนไม่มีสมองเอาเลยว่ามั้ย ครับ แล้วพวกคุณจะเป็น GP ไปทำไมกัน เป็นแพทย์ความงามดีกว่า ดังนั้น, แทนที่ผมจะรักษาความเจ็บไข้ได้ป ่วย ผมตัดสินใจที่จะเป็นผู้ดูแลความ งาม คุณเอ๋ย ธุรกิจมันดี ดีจริงๆ ผ่านไป 1 สัปดาห์ 3 สัปดาห์ 1 เดือน 2 เดือน แล้วก็ 3 เดือน คลินิกผมก็ล้น คนมารับบริการมากมาย ช่างเป็นธุรกิจที่มหัศจรรย์จริง ๆ ผมต้องจ้างแพทย์เพิ่ม จาก 1 คน เป็น 2 คน 3 คน และสุดท้าย 4 คน ภายในปีแรก ผมทำเงินเป็นล้านๆ นั่นแค่ปีแรกนะ ผมเริ่มลุ่มหลง หมกมุ่นกับมัน ผมขยายธุรกิจไปที่อินโดนีเซียเพื่อให้บริการกับคนไข้ชาวอินโดนี เซียผู้ร่ำรวยทั้งหลาย ชีวิตมันช่างสวยงามจริง ๆ
ทีนี้ผมทำกับเงินที่หามาได้มากม ายก่าย กองนั่นยังไง? วันสุดสัปดาห์ผมใช้ชีวิตยังไง? ผมสังกัดกลุ่มคนรักรถ supercar ผมชอบสะสมรถครับ ผมซื้อรถหรูๆ ขับไปถึงมาเลเซียโน่น เพื่อไปแข่งรถในสนามแข่ง นั่นละครับชีวิตของผม เงินยังเหลืออีกเยอะ ทำอะไรอีก? ผมซื้อ Ferrari ครับ ตอนนั้น รุ่น 458 ยังนิยมมาก เปิดประทุนได้ด้วย (ชี้ใน slide) นี่เพื่อนสมัยมัธยมของผมครับ เป็นนายธนาคาร คันของเขาสีแดง ผมก็เลยต้องเลือกสีเงิน
(จากรูป) เขากล่าวคำฮิตว่า กอดเฟอร์รารี่ไม่ได้ (ไม่มีใครให้กอด ตายไปก็เอารถไปไม่ได้) คนไข้ที่เขามี ไม่ใช่คนไข้คนไข้ที่แท้จริงเขามองคนไข้เป็นแค่แหล่งหาเงินเท่านั้นเอง
พอได้รถแล้วทำอะไรอีก? ถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านแล้ว ผมเที่ยวหาทำเลสร้างบ้าน และก็สร้างบ้าน (slide แสดงรูปคฤหาสน์หลังใหญ่ของเขา) ดูผมใช้ชีวิตสิครับ ผมอยู่ท่ามกลางสังคมของคนร่ำรวย และ มีชื่อเสียง คนนี้เป็น Miss universe ผมไปดื่มไปเที่ยวกับคนพวกนี้ นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Facebook มหาเศรษฐีพันล้านเชียวนะครับ ร้านอาหารก็ต้องระดับ Michelin เท่านั้น
ตอนนั้นผมถึงจุดที่ได้ทุกสิ่งทุ กอ ย่างในชีวิตแล้ว ผมถึงจุดสูงสุดในวิชาชีพของผม นี่คือรูปผมเมื่อปีก่อน กำลังเล่น Gym อยู่ หล่อล่ำเลย ตอนนั้นผมคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่ างอยู่ภายในการควบคุมของผมและผม ถึงยอดเขาแล้ว
แต่…ผมผิดถนัดครับ ทุกอย่างไม่ได้อยู่ในการควบคุมข องผม ปีที่แล้วเดือนมีนาคม ผมเริ่มรู้สึกเจ็บตรงกลางหลัง ตอนนั้นคิดไปว่าอาจจะออกกำลังกา ยมากเกินไป ผมจึงไปโรงพยาบาล พบเพื่อนผม ผมทำ MRI เพื่อดูว่าอาจจะมีหมอนรองกระดูก หลังเคลื่อนหรือเปล่า.
เย็นวันนั้น เพื่อนผมโทรมาบอกว่า “กระดูกสันหลังของนายดูเหมือนจะ มี เนื้องอกอะไรบางอย่างนะ” ผมตอบไปว่า “ว่าไงนะ มันหมายความว่ายังไง?” อันที่จริงผมรู้ความหมายดี แต่ไม่ยอมรับความจริง “พูดจริงหรือเปล่า” ตอนที่คุยนั้น ผมยังวิ่งอยู่ใน Gym อยู่เลยคุณรู้หรือเปล่า วันถัดมาผมทำ scan ต่างๆ เพิ่มเติม รวมทั้ง PET scan ด้วย สุดท้ายก็สรุปว่าผมเป็นมะเร็งปอ ดระยะสุดท้าย ตอนนั้นผมคิดในใจว่า “มันมาจากไหนกันวะ” มะเร็งลามไปสมอง ไปกระดูกสันหลัง ไปตับและต่อมหมวกไตเรียบร้อยแล้ ว พวกคุณลองคิดดู ผมคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิ ตได้ ผมถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้ว แต่ฉับพลันผมก็สูญเสียมันไปในทั นที
อยากให้ดูรูป CT scan ปอดผม ลองดูดีๆ ทุกๆ เม็ดในนั้นคือมะเร็งครับ เราเรียกมันว่า Miliary tumor จริงๆ แล้วผมมีมันเป็นหมื่นๆ เม็ดในปอด ผมได้รับคำอธิบายว่า ถึงแม้จะให้เคมีบำบัดอย่างเต็มที่ ผมก็จะอยู่ได้เต็มที่ประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น เหมือนฟ้าถล่มดินทลายทับตัวผมมั้ยครับ ใครจะไม่เป็นบ้างล่ะ ผมมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรงเป็นเดือน ชีวิตผมหมดสิ้นแล้ว
น่าขำที่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผมมี ความสำเร็จเอย ถ้วยรางวัลเอย รถหรูๆ เอย คฤหาสน์เอย ทั้งหมดนั้นผมคิดไปว่ามันจะนำคว ามสุขมาให้ผม แต่ในยามที่ผมตกอยู่ภาวะซึมเศร้ า หดหู่ใจ สิ่งต่างๆ ที่ผมมี มันกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขได้เ ลย และความคิดที่ว่าผมนอนกอดรถ Ferrari แล้วจะทำให้ผมหลับตาลงได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ได้ เลยแม้แต่นิดเดียวตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย สิ่งที่นำความสุขมาให้ผมในช่วง 10 เดือนสุดท้ายกลับเป็นการได้พบปะ กับผู้คน ได้พบกับคนที่ผมรัก เพื่อนๆ ผู้คนที่เป็นห่วงเป็นใยผมอย่างแ ท้จริง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่นำความสุ ขมาให้ผม ไม่ใช่สิ่งของต่างๆ ที่ผมมี ไม่ใช่สมบัติที่ผมครอบครอง สิ่งต่างๆ ที่ผมเคยเหมาเอาว่ามันจะนำความส ุขมาให้ผม แต่เปล่าเลย ถ้ามันทำได้จริง เวลาที่ผมคิดถึงมัน ผมควรจะมีความสุข แต่มันกลับทำให้ผมแย่ลงไปอีก
ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมทำอะไรรู้มั้ย ผมมักจะขับรถหรูของผม ไปทำงาน ไปเยี่ยมบรรดาญาติของผม เพียงเพื่อจะอวดร่ำอวดรวย ผมเองก็บันเทิงกับเรื่องแบบนี้เ สียด้วย แต่มานึกแล้วเพื่อนๆ ของผม ญาติๆ ของผมคงจะกระอักกระอ่วนใจและคงอ ยาก จะให้ผมกลับไปเสียเร็วๆ มากกว่า พวกเขาจะร่วมยินดีไปกับผมหรือ? ไม่มีทาง เขาคงไม่คิดจะดีใจไปกับผม และคงอยากให้ผมไปให้พ้นๆ คงอยากให้ผมลองนั่งรถเมล์ดูมั่ง จริงๆ แล้ว สิ่งที่ผมทำลงไป ทำให้พวกเขาอิจฉาริษยาสิ่งที่ผม มี และบางทีก็คงนึกหมั่นไส้ผมอีกด้ วย
นั่นแหละที่เรียกว่า “ตัวสร้างความอิจฉาริษยา” ผมไปอวดร่ำอวดรวย เพียงเพื่อจะเติมเต็มอัตตาและคว ามยะโสของตัวเอง มันไม่ได้นำความสุขมาให้ผู้อื่น เลย ทั้งเพื่อน ทั้งญาติของผม ผมคิดไปเองว่าพวกเขาจะมีความสุข ไปกับผม
ผมจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งให้ฟัง ตอนที่ผมมีอายุเท่าพวกคุณ ผมพักอยู่ที่หอ Edward VII Hall ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีนิสัยแปล ก เธอชื่อ Jennifer ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อ กันอยู่ เวลาผมเดินไปตามทางกับเธอ ถ้าเธอเห็นหอยทากคลานอยู่ในทางค นเดิน เธอจะคอยหยิบพวกหอยทากนั่นไปวาง ใน สนามหญ้าให้พ้นจากทางเดิน ผมถามเธอว่า เธอทำอย่างนั้นทำไม ทำให้มือสกปรกเปล่าๆ มันก็แค่หอยทากตัวหนึ่ง ความจริงก็คือ เธอเข้าใจหอยทากได้ ความรู้สึกที่ว่าถูกเหยียบบี้แบ นจนตายนั้น เธอรับรู้ได้ แต่สำหรับผม มันก็แค่หอยทาก ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะเกิดมาเป็นคน ได้ คุณก็สมควรโดนเหยียบตาย นั่นเป็นกฎของวิวัฒนาการอยู่แล้ วไม่ใช่หรือ?
ที่ที่สอนผมให้เป็นแพทย์ เขาสอนผมให้เป็นคนที่มีความเห็น อกเห็นใจ ให้เป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น แต่ผมกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย. ตอนที่ผมเป็นแพทย์ประจำบ้าน ทำงานอยู่ในแผนกรักษาผู้ป่วยมะเ ร็ง ทุกเมื่อเชื่อวัน วันแล้ววันเล่า ผมพบเจอกับความตาย ยามที่ผมมองคนไข้กำลังทุกข์ทรมา น ผมเห็นแค่ว่าพวกเขากำลังปวด และผมมีหน้าที่ให้ Morphine แก่พวกเขาเพียงเพื่อระงับอาการป วด ผมเห็นพวกเขากำลังดิ้นรนหายใจจน ถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย นั่นเป็นเพียงภาระหน้าที่ ผมไปที่ตึกผู้ป่วย เจาะเลือด ให้ยาแก่พวกเขา แต่มันมีความหมายอะไรกับผมหรือเ ปล่า? ไม่เลย มันก็แค่งาน ผมทำงาน ทำหน้าที่จนเสร็จ แล้วก็ออกจาก ward ไป แต่ละวันผมแทบจะรอกลับบ้านแทบไม ่ไหว
ความเจ็บปวดคืออะไรหรือครับ? ความทุกข์ทรมานที่ผู้ป่วยต้องปร ะสบ มันมีความหมายอะไร? ไม่มี แน่ละ เรามีศัพท์เทคนิคต่างๆ ในการนิยามในการวัดความปวด ความทุกข์ทรมานเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่รู้ซึ้งจริงๆ ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร จนกระทั่งผมกลายมาเป็นผู้ป่วยเส ียเอง ตอนนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ และถ้าคุณจะถามผมว่าผมจะเปลี่ยน ไปเป็นแพทย์อีกคนที่แตกต่างไปจา กนี้หรือเปล่าถ้าผมกลับมีชีวิตอ ีกครั้ง ผมตอบได้เลยว่าใช่ ผมจะเปลี่ยนไปแน่นอน เพราะผมรู้แล้วว่าผู้ป่วยเหล่าน ั้นรู้สึกอย่างไร และบางทีเราก็ควรจะเรียนรู้สิ่ง นี้จากของจริง
แม้ว่าพวกคุณจะเพิ่งเริ่มเรียนปีแรก และเข้าสู่เส้นทางของการเป็นศัล ยแพทย์ช่องปาก ผมอยากจะลองท้าทายคุณ 2 เรื่อง
ประการแรก หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกคนในที่นี่จะต้องเข้าไปสู่ธุรกิจโรงพยาบ าลเอกชน พวกคุณจะเริ่มสะสมความมั่งคั่ง รับประกันได้เลยครับ แค่ใส่ Implant สักอัน คุณก็ได้เงินเป็นพันๆ ดอลลาร์แล้ว ช่างน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยครับ จริงๆ แล้วไม่ผิดหรอกครับที่จะประสบคว ามสำเร็จ ไม่ผิดที่จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ผิดเลย ปัญหาประการเดียวก็คือ พวกเราส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมด้วย ไม่สามารถควบคุมจัดการมันได้
ทำไมผมพูดอย่างนั้น ก็เพราะเมื่อผมเริ่มสะสมเงินทอง ยิ่งผมมีมากเท่าไร ผมก็ยิ่งอยากมีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งต้องการอะไรมาก เราก็ยิ่งหมกมุ่นอยู่กันมัน เหมือนกับที่ผมได้พูดไปเมื่อก่อ นหน้านี้ ทั้งหมดที่ผมทำก็คือสะสม ๆ ๆ เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสุด เหมือนกับที่สังคมทำกับเรา เหมือนกับที่สังคมอยากให้เราเป็ น เมื่อผมหมกมุ่นอยู่กับมันแล้ว อะไรอื่นก็ไม่มีความหมายสำหรับผ มอีกต่อไป คนไข้ที่เดินเข้ามาก็เพียงแค่ถั งเงิน และผมก็จะรีดเงินออกจากคนไข้พวก นี้จนถึงหยดสุดท้าย
นานมากแล้วที่เราหลงคิดไปว่าเรา จะต้องเป็นฝ่ายรับ เราหลงลืมเสียสนิทว่าเราแทบจะไม่ได้ ให้ใครเลยเว้นแต่ตัวเราเอง สิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับผมมาแล้ว ไม่ว่าจะในวงการแพทย์, วงการทันตแพทย์ ผมบอกได้เลย ขณะนี้ในภาคเอกชน บางครั้งเราถึงกับให้คำแนะนำกับ ผู้ป่วยเพื่อให้รับการรักษาหรือ การผ่าตัดที่ไม่มีข้อบ่งชี้ มันเป็นพื้นที่สีเทา และแม้ว่าบางเรื่องมันจะไม่จำเป็นเลย เราก็ยังแนะนำคนไข้ให้ทำ และถึงตอนนี้ ผมก็รู้ว่าใครบ้างที่หวังดีกับผ มอย่างแท้จริง และใครบ้างที่หลอกเอาเงินผมโดยก ารเสนอ “ความหวัง” ให้ผมอยู่ เราสูญเสียเข็มทิศทางจริยธรรม (moral compass) ไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางสายนี้ เพียงเพราะว่าเราต้องการ make money
ที่แย่ไปกว่านั้น ผมบอกได้เลย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เราพูดให้ร้ายเพื่อนร่วมวิชาชีพ ของเรากันเอง เสมือนเป็นคู่แข่งในธุรกิจเดียว กัน เราแทบไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้เลย ถ้าเราสามารถจะกดคนอื่นลงเพื่อใ ห้เราได้ผลประโยชน์แล้วละก็ เราก็จะทำมันทันที นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอน นี้ ทั้งในวงการแพทย์ ทันตแพทย์ และทุกๆ วงการ สิ่งที่ผมจะเตือนคุณก็คือ อย่าทิ้งเข็มทิศทางจริยธรรมไปเป็นอันขาด ผมเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาอย่างย ากลำบาก และหวังว่าพวกคุณจะไม่เป็นเช่นนั้น
ประการที่สอง พวกเราหลายคนด้านชากับคนไข้ของเ ราในยามที่เรารักษาพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอ กชน คราวที่ผมทำงานอยู่ในโรงพยาบาลแ ละต้องสรุปแฟ้มประวัติผู้ป่วยเป็นตั้งๆ ผมจะรีบจัดการเจ้าแฟ้มเหล่านั้น ไปโดยเร็วที่สุด, ผมจะรีบตรวจคนไข้และให้เขาออกไป จากห้องของผมโดยเร็วที่สุด เพราะคนไข้มันช่างมากมายเหลือเกิน นั่นคือเรื่องจริง เพราะมันเป็นแค่งาน งานที่ซ้ำซากจำเจมากๆ นั่นแค่ส่วนหนึ่ง ถามว่าผมรู้ไหมว่าคนไข้แต่ละคนรู้สึก อย่างไร? ผมไม่รู้หรอก ความหวาดวิตกกังวลต่างๆ ที่พวกเขามี ที่พวกเขาประสบอยู่ ผมรู้มั้ย? ไม่เลย จนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับผมเอง และผมคิดว่านั่นเป็นความผิดพลาด อันใหญ่หลวงในระบบสาธารณสุขของเ รา
เราถูกสอนมาให้เป็นผู้ให้บริการ สาธารณสุข เป็นมืออาชีพ แต่ทั้งหมดทั้งเพ เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคนไข้รู้สึกจริงๆ เช่นไร ผมไม่ได้ให้ขอให้พวกคุณเข้าอกเข้าใจคนไข้อย่างลึกซึ้งอะไรมากมา ย ผมไม่คิดว่านั่นจะทำให้เราเป็นม ืออาชีพหรอก แต่จริงๆ แล้วเราได้พยายามที่จะเข้าใจควา มเจ็บปวดของพวกเขาหรือยัง? พวกเราส่วนใหญ่คงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นไรครับแต่อย่าละเลย สิ่งที่ผมจะบอกพวกคุณคือ จงพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา (put yourself in your patient’s shoes)
เพราะความเจ็บปวด ความกังวลใจ ความหวาดกลัว สำหรับคนไข้แล้วมันเป็นของจริงค รับแม้ว่ามันอาจจะดูไม่จริงสำหรับคุณ ดังนั้นจงอย่าละเลยมัน พวกคุณรู้มั้ยครับ ตอนนี้ผมกำลังได้รับเคมีบำบัดรอ บที่ 5 อยู่ ผมบอกได้เลยว่ามันเลวร้ายมาก เคมีบำบัดเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณ ไม่อยากจะประสบ ต่อให้กับศัตรูของคุณก็เถอะ เพราะมันช่างทุกข์ทรมาน ทุเรศทุรัง เหมือนถูกโดดเดี่ยว กินอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดี ยว เลวร้ายจริงๆ และถึงตอนนี้ ยามที่ผมพอมีเรี่ยวแรงอยู่บ้าง ผมพยายามที่จะปลอบประโลมผู้ป่วย มะเร็งคนอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ เพราะผมเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว ่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมันเป็น อย่างไร. แต่ดูเหมือนมันจะสายเกินไปและยั งไม่เพียงพอ
พวกคุณทั้งหลายมีอนาคตที่สดใสรอ อยู่เบื้องหน้า ตัวคุณเปี่ยมไปด้วยพลัง ผมกำลังจะบอกให้คุณไปหาคนไข้คนถัดไปของคุณ มองเขาในฐานะมนุษย์ที่มีความเจ็ บปวดและกำลังทุกข์ทรมาน อย่าได้คิดว่าคนยากจนเท่านั้นที ่จะทุกข์ นั่นไม่จริงเลย คนยากคนจนทั้งหลายจริงๆ แล้วเขาพอใจในสิ่งที่พวกเขาเป็น อยู่ พวกคุณควรจะรู้ไว้ด้วยว่าพวกเขา มีความสุขมากกว่าคุณและผมเสียอี ก ยังมีผู้คนอีกมากที่กำลังทุกข์ท รมาน ทั้งทางจิตใจ ทางร่างกาย ทางอารมณ์ และอื่นๆ อีกมาก และนั่นเป็นของจริง เราเลือกที่จะมองข้ามพวกเขา หรือเพียงไม่อยากรับรู้ว่าพวกเข ามีตัวตนอยู่
ลองกลับไปคิดดูนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวช าญหรือทันตแพทย์ ลองสัมผัสถึงผู้คนเหล่านั้นผู้ซึ่งต้องการคุณ ไม่ว่าอะไรที่คุณทำลงไปจะสร้างค วามแตกต่างที่ยิ่งใหญ่กับพวกเขา สำหรับผมตอนนี้ใกล้จะถึงฉากสุดท ้าย ผมรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร คนที่เป็นห่วงเป็นใยผม ให้กำลังใจผม ได้สร้างความแตกต่างอย่างมากในตัวผม รูปที่เห็นคือผมหลังได้รับการรั กษาเมื่อไม่นานมานี้ สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และนั่นทำให้ผมยังมีลมหายใจอยู่ และสามารถมาพูดคุยกับพวกคุณได้ใ นวันนี้
ผมอยากจะจบการบรรยายด้วย ประโยคนี้ มันมาจาก หนังสือเรื่อง Tuesdays with Morrie พวกคุณบางคนคงเคยอ่านแล้ว
Everyone knows that they are going to die; every one of us knows that.
The truth is, none of us believe it because if we did, we will do things differently.
เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตาย ผมได้ลอกคราบตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุ ดเท่านั้น ที่น่าขำก็คือ เมื่อเราเรียนรู้ว่าเราจะตายอย่ างไร นั่นแหละเราถึงจะเรียนรู้ว่าเรา จะมีชีวิตอย่างไร ผมรู้ว่ามันออกจะเคร่งเครียดไปห น่อยสำหรับเช้าวันนี้ แต่นั่นคือความจริงครับ นี่คือสิ่งที่ผมได้ประสบมา
อย่าให้สังคมบอกคุณว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร อย่างให้สื่อต่างๆ บอกคุณว่าคุณควรจะทำอะไร สิ่งเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นกับผมม าแล้ว ผมปล่อยให้ชีวิตผมจมไปกับความคิ ดที่ว่าสิ่งเหล่านี้จะนำความสุข มาให้ ผมหวังว่าคุณจะใคร่ครวญกับเรื่อ งนี้และตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ชี วิตของคุณเองอย่างไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกให้คุณทำ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะให้เฉพา ะแต่ตัวคุณเอง หรือจะสร้างความแตกต่างขึ้นในชี วิตของผู้อื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มา จากการให้อะไรกับตัวเอง ผมเคยคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลย
ผมขอขอบคุณทุกท่าน ถ้ามีคำถามอะไรที่จะถามผม ยินดีครับ ขอบคุณ
เครดิต: สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล MUSA (ผู้เผยแพร่ ไม่ระบุผู้แปล)
เครดิต: เว็บเผยแพร่เรื่องราวของ Dr. Richard Teo http://www.facebook.com/drrichardteo และhttp://www.heavenaddress.com/Dr-Richard-Teo-Keng-Siang/424153/379719/content
Comments
Post a Comment